คุณควรทราบลักษณะสำคัญของค่า True หรือ False เพิ่มเติมก่อนที่จะเรียนรู้วิธีใช้สูตร Array IF แบบหลายเงื่อนไข กล่าวคือ Excel ถือว่าค่า True มีค่าเท่ากับ 1 และค่า False มีค่าเท่ากับ 0 ซึ่งเราจะเห็นค่าเหล่านี้ได้ชัด ต่อเมื่อนำค่า True หรือ False มาคำนวณต่อ
แต่ถ้านำค่า True ที่ได้ไปเทียบตรงๆกับเลข 1 ว่าเท่ากันหรือไม่ จะพบว่า True ไม่เท่ากับ 1 และถ้านำค่า False ที่ได้ไปเทียบตรงๆกับเลข 0 ว่าเท่ากันหรือไม่ จะพบว่า False ไม่เท่ากับ 0
จากภาพตัวอย่างนี้ เซลล์ B2 มีค่า =TRUE() จากนั้นเรามาทดสอบค่าของ B2 กัน จะพบว่าในเซลล์ C2 เมื่อนำมาเทียบค่ากันโดยตรง ซึ่งมีสูตร =B2=1 บอกเราว่า False แสดงว่า True ไม่ได้เท่ากับ 1 แต่เมื่อนำค่าจาก B2 ไปคำนวณต่อในเซลล์ C3:C8 ไม่ว่าจะนำ B2 ไป *1, /1, +0, -0, หรือใส่เครื่องหมายลบลบไว้ข้างหน้า หรือนำไปคูณกับ TRUE() จะกระตุ้นให้แสดงค่าเท่ากับเลข 1 ออกมาให้เห็น
ทำนองเดียวกัน เซลล์ G2 มีค่า =FALSE() จากนั้นเรามาทดสอบค่าของ G2 กัน จะพบว่าในเซลล์ H2 เมื่อนำมาเทียบค่ากันโดยตรง ซึ่งมีสูตร =G2=0 บอกเราว่า False แสดงว่า False ไม่ได้เท่ากับ 0 แต่เมื่อนำค่าจาก G2 ไปคำนวณต่อในเซลล์ H3:H8 ไม่ว่าจะนำ G2 ไป *1, /1, +0, -0, หรือใส่เครื่องหมายลบลบไว้ข้างหน้า หรือนำไปคูณกับ TRUE() จะกระตุ้นให้แสดงค่าเท่ากับเลข 0 ออกมาให้เห็น
ดังนั้นถ้าเรามี Array ซึ่งมีค่า True หรือ False แล้วนำไปบวกหรือคูณกับ Array อื่นที่มีค่าเป็นตัวเลขหรือมีค่าเป็น True หรือ False ก็ตาม ย่อมเหมือนกับนำเลข 1 หรือเลข 0 ไปบวกหรือคูณกับค่าอื่นนั่นเอง โปรดดูข้อพิสูจน์จากรูปต่อไปนี้
Array ที่มีเลข 1 และ 0 จากการบวกหรือคูณนี่แหละที่ช่วยทำให้เราหายอดรวมแยกประเภทต่อไปได้