=IF(เงื่อนไข=1,"A", IF(เงื่อนไข=2,"F", IF(เงื่อนไข=3,"B", IF(เงื่อนไข=4,"44", IF(เงื่อนไข=5,C12,0)))))
สูตร IF ที่เห็นนี้ใช้เงื่อนไขตรวจสอบว่ามีค่าเท่ากับตัวเลขลำดับ 1 2 3 4 5 ถ้าใช่ให้แสดงคำตอบออกมาเป็น A F B 44 หรือค่าในเซลล์ C12 แต่ถ้าไม่ใช่เลยให้ตอบเป็นเลข 0 แทน
ถ้าเจอสูตร IF ซ้อนกันแบบนี้ เหนื่อยไหมครับ นี่แค่ซ้อนกัน 5 เงื่อนไขก็ต้องซ้อนสูตรกันยาวแล้ว
👉 แทนการใช้ IF เปลี่ยนไปใช้ Choose สบายตาสบายใจกว่าเยอะครับ
=Choose( เลขลำดับ, "A", "F", "B", 44, C12 )
สูตรนี้สามารถใช้ตัวเลขเลือกคำตอบได้ตั้งแต่เลข 1 - 254 ซึ่งต้องใส่คอมมาคั่นในวงเล็บ ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ไปได้ถึง 254 ตัว
พอใส่คอมมาแต่ละตัว ต้องจัดคำตอบให้ดีว่าแต่ละลำดับต้องการคำตอบเป็นอะไร หากเผลอสลับคำตอบผิดลำดับไปก็แย่เหมือนกัน เช่น A ต้องมาก่อน F เป็นหน้าที่ของคนสร้างสูตรต้องจัดค่าตามลำดับให้ดี
เจอแบบนี้หันไปใช้ Index แทนดีกว่า Choose เพียงแต่ว่าต้องเอาคำตอบที่ต้องการไปใส่ไว้ในตารางตามแนวนอนหรือแนวตั้งก็ได้ สมมติว่ากรอกไว้ในเซลล์ A1:A5 แบบนี้
A
F
B
44
=C12
👉 จากนั้นก็หันไปใช้สูตร
=Index(A1:A5, เลขลำดับ)
🤓 สูตร IF กับ Choose ได้เปรียบกว่า Index ตรงที่สามารถใช้กับค่าที่กระจายกัน จะไปเอาคำตอบลิงก์มาจากเซลล์นั้น เซลล์นี้ จากเซลล์ในชีทโน้น แฟ้มนั้นก็ได้ ส่วน Index ต้องใช้กับค่าที่อยู่ติดกันเป็นตารางเท่านั้น
Index ได้เปรียบกว่า IF กับ Choose เพราะสูตรสั้นกว่าเยอะและสามารถใช้หาคำตอบได้นับล้านค่า เพราะในแต่ละ column มีตั้งล้านกว่า row